การใช้ฟังก์ชันในการคำนวณคือการคำนวณในรูปแบบที่เป็นตัวช่วยในการคำนวณของโปรแกรม Microsoft office Excel ของทุกเวอร์ชัน โดยทุกเวอร์ชั่นของ Microsoft office Excel จะมีฟังก์ชันเสริมเพื่อช่วยในความสะดวกต่อการคำนวณและใช้งานมากยิ่งขึ้น ซึ่งฟังก์ชั่นที่จะใช้เรียนในบทเรียนนี้ ได้แก่
1. SUM หมายถึง การหาผลรวม
2. MAX หมายถึง การหาค่าสูงสุด
3. MIN หมายถึง การหาค่าต่ำสุด
4. AVERAGE หมายถึง การหาค่าเฉลี่ย
5. IF หมายถึง การหาข้อมูลในรูปแบบที่เป็นเงื่อนไข
1. SUM (ซัม)
sum หมายถึง การหาผลรวมในรูปแบบหลายจำนวนและแต่ละจำนวนจะมีค่ามากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับข้อมูลเหล่านั้น โดยการคำนวนหาผลรวมในรูปแบบฟังก์ชันนี้ จะเขียนสูตรได้ดังนี้ =sum จากนั้นตามด้วยวงเล็บเปิดและจากนั้นเลือกข้อมูลที่จะคำนวณแล้ววงเล็บปิดแล้วกด Enter ดังตัวอย่าง
จากภาพตัวอย่างการคำนวณด้วยฟังก์ชั่น sum จะเห็นได้ว่า หากต้องการคำนวณหาผลรวมโดยใช้ฟังก์ชั่น sum ให้นำเมาส์ไปคลิกที่ช่องที่ต้องการจะหาผลลัพธ์นั้น จากนั้นก็เริ่มต้นด้วยการพิมพ์สูตรฟังก์ชั่นของผลรวมคือ =sun ตามด้วยวงเล็บเปิด แล้วเลือกข้อมูลทั้งหมดที่ต้องการจะหาผลรวมจากนั้นก็ใส่วงเล็บปิดและ Enter ก็จะได้ผลรวมดังภาพถัดมา
2. MAX (แม็ซ)
max คือการหาผลลัพธ์ที่มีค่าสูงสุดของข้อมูลเหล่านั้น เมื่อข้อมูลมีจำนวนหลายชุด และแต่ละชุดจะมีค่าที่ต่างกันออกไป และหากต้องการทราบค่าที่มากหรือสูงที่สุดนั้น จึงจำเป็นต้องใช้ฟังก์ชั่น max เข้ามาช่วยในการหาผลลัพธ์ เช่น หากข้อมูลมีจำนวน 5 ชุด ปรากฏดังนี้ 12 14 11 15 และ 9 ค่าที่มีค่ามากหรือสูงที่สุดก็คือ 15 แน่นอนว่ามองด้วยตาเปล่าก็สามารถตอบได้ แต่ถ้าหากข้อมูลมีมากหลายชุดล่ะ ก็จะทำให้การมองด้วยตามีการผิดพลาดได้ ฉะนั้น ฟังก์ชั่น max สามารถแก้ปัญหาได้ และมีความแม่นยำและถูกต้องด้วย ดังภาพตัวอย่าง
ตัวอย่างภาพการหาค่าสูงสุดด้วยฟังก์ชั่น max
จากภาพตัวอย่างการหาค่า max ด้วยการใช้ฟังก์ชั่น จะเห็นได้ว่า หากต้องการทราบข้อมูลตัวเลขทั้งหมดว่าค่าใดคือค่าที่สูงที่สุด ให้นำเมาส์มาคลิกที่ช่องที่ต้องการจะหาผลลัพธ์ แล้วพิมพ์สูตรฟังก์ชั่นคือ =max ตามด้วยวงเล็บเปิด แล้วเลือกข้อมูลทั้งหมดที่ต้องการจะหาผลลัพธ์จากนั้นก็ใส่วงเล็บปิดและ Enter ก็จะได้ผลรวมดังภาพถัดมา
3. MIN (มิน)
การหาค่า min นั้นจะตรงข้ามกับค่า max กล่าวคือ min คือการหาผลลัพธ์ที่มีค่าต่ำสุดของข้อมูลเหล่านั้น เมื่อข้อมูลมีจำนวนหลายชุด และแต่ละชุดจะมีค่าที่ต่างกันออกไป และหากต้องการทราบค่าที่น้อยหรือต่ำที่สุดนั้น จึงจำเป็นต้องใช้ฟังก์ชั่น min เข้ามาช่วยในการหาผลลัพธ์ เช่น หากข้อมูลมีจำนวน 5 ชุด ปรากฏดังนี้ 12 14 11 15 และ 9 ค่าที่มีค่าน้อยหรือต่ำที่สุดก็คือ 9 แน่นอนว่ามองด้วยตาเปล่าก็สามารถตอบได้ แต่ถ้าหากข้อมูลมีมากหลายชุดล่ะ ก็จะทำให้การมองด้วยตามีการผิดพลาดได้ ฉะนั้น ฟังก์ชั่น min สามารถแก้ปัญหาได้ และมีความแม่นยำและถูกต้องด้วย ดังภาพตัวอย่าง
ตัวอย่างภาพการหาค่าสูงสุดด้วยฟังก์ชั่น min
จากภาพตัวอย่างการหาค่า min ด้วยการใช้ฟังก์ชั่น จะเห็นได้ว่า หากต้องการทราบข้อมูลตัวเลขทั้งหมดว่าค่าใดคือค่าที่ต่ำที่สุด ให้นำเมาส์มาคลิกที่ช่องที่ต้องการจะหาผลลัพธ์ แล้วพิมพ์สูตรฟังก์ชั่นคือ =min ตามด้วยวงเล็บเปิด แล้วเลือกข้อมูลทั้งหมดที่ต้องการจะหาผลลัพธ์จากนั้นก็ใส่วงเล็บปิดและ Enter ก็จะได้ผลรวมดังภาพถัดมา
จากภาพตัวอย่างการหาค่าเฉลี่ยโดยใช้ฟังก์ชั่น average จะเห็นได้ว่าเป็นการหาค่าเฉลี่ยของช่องรวมคะแนน โดยวิธีการหาค่าเฉลี่ยคือ นำเมาส์ไปคลิกที่ช่องต่องการจะหาผลลัพธ์จะจึพิมพ์สูตรฟังก์ชั่น =average ตามด้วยวงเล็บเปิด แล้วเลือกข้อมูลทั้งหมดที่ช่องรวมคะแนนจากนั้นก็ใส่วงเล็บปิดและ Enter ก็จะได้ผลลัพธ์ดังภาพถัดมา
5. IF (อีฟ)
if คือการหาผลลัพธ์ในรูปแบบของการตั้งเงื่อนไข เป็นการตั้งเงื่อนไขในรูปแบบเกณฑ์ตามที่เราได้กำหนดไว้ หรือตามที่โจทย์กำหนดไว้ โดยเงื่อนไขนั้นจะมีอยู่หลายอย่าง ขึ้นอยู่กับโจทย์ที่จะได้มา ซึ่งในที่นี้ เราจะเรียนรู้เกียวเรื่อง IF และ IF ซ้อน IF แต่ก่อนที่เราจะเรียนเกี่ยวกับเรื่อง IF เรามาทำความรู้จักกับเครื่องหมายที่ใช่ร่วมกับ IF กันก่อน
1. > หมายถึง มากกว่า
2. < หมายถึง น้อยกว่า
3. >= หมายถึง มากกว่าหรือเท่ากับ
4. <= หมายถึง น้อยกว่าหรือเท่ากับ
5. = หมายถึง เท่ากับ
6. < > หมายถึง ไม่เท่ากับ
7. " หมายถึง quotation marksหรือ ฟันหนู
8. , หมายถึง comma หรือ จุลภาค หรือ จุดลูกน้ำ
5.1 IF
if คือการหาผลลัพธ์แบบเงื่อนไข โดยลักษณะการเขียนสูตรของฟังก์ชั่น if ในที่นี้ จะเขียนได้ว่า =if ตามด้วยวงเล็บเปิด จากนั้นก็ทำการใส่ข้อมูลและเงื่อนไขที่ต้องการจะใช้แล้วจึงใส่วงเล็บปิดและกด Enter ตัวอย่างเช่น หากมีการสอบเก็บคะแนนโดยมีคะแนนเต็มคือ 20 และเกณฑ์การสอบผ่านคือ 10 หากไม่ถึง 10 คือไม่ผ่าน จะเขียนสูตรฟังก์ชั่นได้ดังนี้ =if(ช่องคะแนนที่ได้>=10,"ผ่าน","ไม่ผ่าน")